บันได 1,200 ขั้น ที่ลัดเลาะผ่านซอกเขาไปตามหน้าผาจนถึงยอด มันคงสูงและเหนื่อยไม่ใช่เล่น เพียงแค่แหงนหน้าขึ้นไปมองคนที่กำลังไต่บันใดอยู่ข้างบนอันสูงลิบก็ดูน่าหวาดเสียว ขึ้นไปแล้วจะสูงแค่ไหน ข้างบนนั้นมีอะไร จะขึ้นไปไหวหรือไม่ ดูเป็นสิ่งที่ท้าทายและชวนหาคำตอบยิ่งนัก ที่ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นการพิสูจน์ร่างกายและจิตใจได้เป็นอย่างดี
หลายปีมาแล้วผมเคยแวะมาเที่ยววัดนี้ซึ่งเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป จะเรียกว่าเป็นวัดดังที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของภาคใต้ก็คงไม่ผิดนัก เคยได้ยินชื่อ “หลวงพ่อจำเนียร” เจ้าอาวาสวัดถ้ำเสือที่มีผู้เลื่อมใสศรัทธาของผู้คนในจังหวัดกระบี่และจังหวัดใกล้เคียงมานาน
ผมรู้จักวัดนี้ในฐานะที่เป็นสถานที่ฝึกสมาธิและเจริญภาวนา ซึ่งแต่ละปีจะมีทั้งหญิงและชายจำนวนมากมาบวชชี – พราหมณ์ นุ่งขาวห่มขาว และถือศีล 8 กันเป็นเวลาหลายวัน โดยวัดได้จัดสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆไว้รองรับอย่างครบครัน
วัดถ้ำเสืออยู่ห่างจากตัวเมืองกระบี่มาไม่ไกลนัก คงไม่เกิน 5 กิโลเมตร ตามเส้นทางสาย กระบี่ – ตรัง ทางเข้าวัดสังเกตง่าย จะเห็นก้อนหินก้อนใหญ่สูงราว 10 เมตร ตั้งโดดเด่นอยู่ตรงสามแยกปากทางเข้าวัดพอดี ซึ่งผมก็จะใช้เป็นจุด จุดสังเกตทุกครั้ง ก่อนที่จะเลี้ยวรถเข้ามาตามถนนสายเล็กๆ ผ่านสวนของชาวบ้านต่อไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร ก็จะเห็นวัด
อยู่ด้านใน
ลานจอดรถที่กว้างขวางใหญ่โตอาจดูคับแคบหากเดินทางมาในวันหยุดหรือช่วงเทศกาล วัดนี้เป็นจุดแวะเที่ยวของนักทัศนาจร หลายระดับ ทั้งฉิ่งฉับทัวร์ ทัวร์ระดับ VIP รวมไปถึงกรุ๊ปทัวร์นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ผ่านมายังเส้นทางนี้
” รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม” สูงราวๆ 5 เมตร ดูใหญ่โตกว่าที่เคยเห็นมาจากที่อื่นๆ ในแต่ละวันจะมีผู้คนมาบูชาไม่ขาดสาย จุดธูปจุดเทียนกันจนควันโขมง และเป็นจุดเด่นที่ใครมาวัดนี้แล้วคงต้องเจอ
ผมเคยมาเที่ยววัดนี้ตอนที่รูปปั้นพึ่งจะสร้างเสร็จใหม่ๆ เห็นสีทองเหลืองอร่ามแวววาวสวยงามมาก ใบหน้าเจ้าแม่กวนอิมดูสง่า มีราศรี หน้าขาวนวลออกชมภูเหมือนผู้หญิงสวยที่มีใบหน้าเกลี้ยงเกลา ซึ่งแสดงถึงฝีมืออันประณีตของช่างปั้น
ด้านข้างของวัดเป็นหน้าผาที่ใหญ่โตและสูงชันมาก มีบันไดปูนซิเมนต์ให้เดินไต่ผ่านซอกเขาข้ามไปอีกฝากหนึ่งได้ เมื่อข้ามไปแล้ว จะเห็นเป็นป่ามีต้นไม้ใหญ่ขึ้นหนาแน่น บางชนิดเป็นไม้ใหญ่ที่หาดูได้ยาก ดูลักษณะแล้วน่าจะมีอายุเป็นร้อยๆปี ถ้าเดินลึกเข้าไป ตามแนวทางเดินริมเขาจะเห็นถ้ำเล็กๆ มีค้างคาวหลายสิบตัวที่เกาะนิ่งอยู่ตามเพดานถ้ำ สามารถมองเห็นได้ชัดเจนในตอนกลางวัน
ภายในบริเวณวัดที่อยู่ด้านหลังเขา ดูเหมือนเป็นป่ามากกว่าจะเป็นที่ดินเขตของวัด แต่จากสอบถามคนแถวนั้นแล้วทราบว่าเป็น พื้นที่ของวัด อกว่าเดิมทีวัดนี้ตั้งโดดเดี่ยวอยู่ในป่าต่อมามีชาวบ้านมาทำสวนทำไร่และอาศัยอยู่ใกล้ๆวัดทำให้พื้นที่ของวัดถูกโอบ
ล้อมไปด้วยที่ดินของชาวบ้าน
ชื่อ วัด” ถ้าเสือ ” ในอดีตนั้นน่าจะมีเสืออาศัยอยู่ตามถ้ำต่างๆภายในวัด นึกไปแล้วก็น่าเป็นจริง เพราะสภาพทั่วไปเหมาะที่จะ เป็นที่อาศัยของสัตว์ป่า มีถ้ำอยู่หลายแห่ง มีต้นไม้ใหญ่ และห่างไกลจากผู้คน
แรกเริ่มเดิมทีของวัดนี้น่าจะมาจากพระป่าหรือพระธุดงค์มาอาศัยอยู่ตามถ้ำ และมีชาวบ้านที่ศรัทธาตามมากราบไหว้ จนกลาย เป็นวัดในเวลาต่อมา ซึ่งวัดถ้ำต่างๆในต่างจังหวัด ส่วนใหญ่แล้วจุดเริ่มต้นจนเป็นที่รู้จัก ก็ล้วนมาจากพระธุดงค์ที่จาริกไปเพื่อหา สถานที่วิเวกในการปฏิบัติธรรม จนมีผู้เลื่อมใสเดินทางมากราบไหว้กันเป็นจำนวนมาก
จะว่าไปแล้วการค้นพบถ้ำต่างๆที่มีชื่อและเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในเวลาต่อมา ก็มาจากพระธุดงค์นี้แหละที่เป็นนักสำรวจ และเป็นผู้ค้นพบที่แท้จริง ต่ก็อาจมีบางส่วนที่เข้าไปอาศัยและสร้างศาสนวัตถุต่างๆขึ้นจนเป็นการทำลายสภาพแวดล้อมไปอย่าง
น่าเสียดายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
…ทั้งหมดนั้นเป็นความทรงจำที่ผมเคยมาเที่ยววัดนี้ถึง 2 ครั้งเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ยังไม่มีโอกาสไต่บันได 1,200 ขั้นแม้แต่ครั้ง
เดียว ทั้งนี้เป็นเพราะมีเวลาค่อนข้างจำกัดและยังต้องเดินทางต่อไปยังที่อื่นอีก ถึงกระนั้นก็ตั้งความหวังไว้ในใจว่าคงต้องหา โอกาสมาพิชิตให้ได้