ที่แห่งนี้คือผืนธรรมแห่งสุดท้ายที่เราชาวพุทธควรน้อมจิตระลึกถึงเพื่อความถึงพร้อม
บูชาสถานที่ปรินิพพานนี้..ได้อายุยืนยาว ได้ทรัพย์สินมรดก ได้พ้นเครื่องเสียดเเทง
พระพุทธเจ้าทรงตัดสินพระทัยเสด็จมาดับขันธปรินิพพานที่เมืองกุสินารา เนื่องจากไม่ได้เป็นเมืองใหญ่ เหมือนหลายๆ เมือง เช่น ราชคฤห์ สาวัตถี โกสัมพี เป็นต้น
พระอานนท์เคยกราบทูลถามถึงเหตุผลที่ไม่ทรงเสด็จไปปรินิพพานยังเมืองใหญ่ พระองค์ทรงเล่าให้ทราบถึงอดีตกาลว่าเมืองนี้เคยยิ่งใหญ่ และสำคัญอย่างไร
แต่กลับทรงละที่จะบอกเหตุผลปัจจุบัน ชวนให้คิดว่าพระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นปัญหาความยุ่งยากอันเนื่องจากการแบ่งพระบรมสารีริธาตุที่จะเกิดขึ้นภายหลังทรงปรินิพพานแล้ว
พรรษาสุดท้าย (พรรษาที่ ๔๕ นับจาการตรัสรู้ของพระพุทธองค์) พระองค์ทรงประทับจำพรรษาอยู่ที่เวฬุวคาม เมืองไวสาลี เป็นเวลา ๓ เดือน
จากนั้นเสด็จออกจากไวสาลีมุ่งสู่กุสินารา ระหว่างทางพักประทับที่ปาวาลเจดีย์ ณ ที่นี่เองทรงปลงอายุสังขาร คือหมายพระทัยว่าจะเสด็จดับขันธปรินิพพานอีก ๓ เดือนข้างหน้า
หลังจากนี้จึงเสด็จเข้าเมืองปาวา ซึ่งเป็นอาณาเขตของพวกมัลลกษัตริย์ ทรงประทับพักที่สวนมะม่วงของนายจุนทะ นายจุนทะถวายภัตตาหาร ด้วยสูกรมัทวะ อาหารนี้เป็นเหตุให้พระองค์ลงปักขันธิกาพาธรุนเเรงหนักขึ้น
เเต่พระองค์ยังคงอดทนอยู่ได้ด้วยอำนาจอธิวาสนขันติ ทรงหยุดพักที่เเม่น้ำกกุธานที รับสั่งให้พระอานนท์ตักน้ำเพื่อเสวย พร้อมลงสรงน้ำจนพระวรกายสดชื่น ทรงพักผ่อนใต้ต้นมะม่วง
จากนั้นพระองค์เสด็จข้ามเเม่น้ำหิรัญวดี ถึงสาลวโนทยานประทับ ณ ใต้ร่มไม้สาละคู่
สถานที่นี้เองเป็นสถานที่สิ้นสุดการเดินทางไกลของพระองค์อย่างเเท้จริง
พระธรรมที่พระองค์ทรงพร่ำสอนมาตลอดพระชนม์ชีพนั้น มีความตายเป็นที่สุด
“จงอย่าสนใจกับร่างกายของเรา
อย่าสนใจร่างกายของบุคคลอื่น
อย่าสนใจกับวัตถุธาตุใดๆ ทั้งหมด
เพราะทุกอย่างมันเป็นอนิจจังไม่เที่ยง
ถ้าเราเข้าไปยึดเเล้ว ก็เป็นทุกขังเป็นทุกข์
ในที่สุดมันก็พัง ต้องเป็นอนัตตา ดึงมันไว้ไม่อยู่
ฉะนั้นขอเธอจงปรับใจของเธอให้เข้าใจถึงเรื่องนี้ให้รู้ตามความเป็นจริง”
นี่คือพุทธวจนะที่พระพุทธองค์ประทานต่อ สุภัททะปริพาชก ก่อนดับขันธปรินิพพาน ณ เมืองกุสินารา
ถือเป็นที่สุดแห่งวจนะอมตะที่ไม่เคยเสื่อมสูญ เพราะเป็นกฏแห่งความเที่ยงเเท้ เหนือความเชื่อและไม่เชื่อทั้งปวง
โดยก่อนที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพานนั้น พระองค์ได้อุปสมบทแก่ พระสุภัททะปริพาชก
ซึ่งถือได้ว่า “พระสุภัททะ” คือ สาวกองค์สุดท้ายที่พระองค์ทรงบวชให้ ท่ามกลางคณะสงฆ์ทั้งที่เป็นพระอรหันต์ และปุถุชนจากแคว้นต่างๆ รวมทั้งเทวดา ที่มารวมตัวกันในวันนี้
ในคราวนั้น พระองค์ทรงมีปัจฉิมโอวาทว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ”
แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
จากนั้น ได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน ใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยาน
ของเหล่ามัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ
ในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ รวมพระชนม์ ๘๐ พรรษา
วันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นของพุทธศักราช
ปัจจุบันเรียกว่า “วันวิสาขบูชา”
คณะธรรมดีทัวร์ นำโดยพระมหาน้อย และดร.ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ได้กราบสักการะสถานที่ปรินิพพาน และพระพุทธปฏิมา ณ สาลวโนทยาน
อันเป็นสถานที่เสด็จดับขันธปรินิพพานของพระพุทธองค์ ด้วยการสวดมนต์ เจริญจิตภาวนา สรรเสริญพุทธองค์ พร้อมทั้งแห่ผ้าห่มพระพุทธรูปปางปรินิพพานด้วยใจที่นอบน้อม
สถานที่แห่งนี้ ให้เเง่คิดข้อธรรม เกี่ยวกับธรรมสังขาร ว่าการร่วงโรยของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงหมุนผ่าน จาก เกิด แก่ เจ็บ ตาย และดับสูญ หามีสิ่งใดจีรังไม่
จงน้อมระลึกถึงดินแดนพระพุทธองค์ แดนสุดท้ายด้วยจิตน้อมในธรรม และพึงระลึกอยู่เสมอว่า อย่าประมาท
ครั้งหนึ่งในชีวิต กราบเเทบบาทพุทธองค์
สี่สังเวชนียสถาน อินเดีย ครั้งแรก! เยือนมหานครสีชมพู เมืองชัยปุระ ชมความงามของสถาปัตยกรรมและป้อมปราการ
บนเส้นทางเเห่งศรัทธา กับธรรมดีทัวร์
#ทัวร์อินเดีย# เที่ยวอินเดีย #ทัวร์อินเดีย VIP #เที่ยวอินเดีย VIP#แสวงบุญอินเดีย
#ทัวร์อินเดียสังเวชนียสถาน #ทัวร์แสวงบุญอินเดีย
#ทัวร์อินเดียมีระดับ #ทริปอินเดีย #ทัวร์อินเดียเนปาล
#ทัวร์ไหว้พระอินเดีย